เครื่องมือวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจ
"CRAFT LAB: Make every technology commercialised"
เครื่องมือวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจ
ผศ.ดร. ปารเมศ วรเศยานนท์
บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ในการวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจ เครื่องมือหลายประเภทสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินความเป็นไปได้และความเหมาะสมของโอกาสต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ บทความนี้จะแนะนำเครื่องมือหลัก ๆ ที่ใช้ในการวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจ ได้แก่ SWOT Analysis, PESTEL Analysis, Financial Metrics, และ Risk Analysis Matrix เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจถึงสถานการณ์ของธุรกิจและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
1. SWOT Analysis: การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค
SWOT Analysis เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของธุรกิจ โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่:
จุดแข็ง (Strengths): วิเคราะห์ความสามารถที่ทำให้ธุรกิจมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เช่น ทรัพยากรที่มีคุณภาพ ทีมงานที่มีประสบการณ์ ฯลฯ
จุดอ่อน (Weaknesses): วิเคราะห์ข้อด้อยที่อาจเป็นอุปสรรคในการพัฒนาธุรกิจ เช่น งบประมาณที่จำกัด หรือการขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญ
โอกาส (Opportunities): วิเคราะห์โอกาสที่มาจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงของตลาดหรือเทคโนโลยีใหม่ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจเติบโต
อุปสรรค (Threats): วิเคราะห์ปัจจัยภายนอกที่อาจก่อให้เกิดอุปสรรค เช่น การแข่งขันที่รุนแรงหรือกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง
SWOT Analysis ช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นภาพรวมของธุรกิจและสามารถวางแผนเพื่อใช้จุดแข็งในการพัฒนา และแก้ไขจุดอ่อนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2. PESTEL Analysis: การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก
PESTEL Analysis เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อธุรกิจ โดยแบ่งออกเป็น 6 ปัจจัย ได้แก่:
การเมือง (Political): กฎระเบียบ นโยบายภาครัฐ และเสถียรภาพทางการเมือง
เศรษฐกิจ (Economic): ภาวะเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ฯลฯ
สังคม (Social): พฤติกรรมของผู้บริโภค แนวโน้มทางสังคม และวัฒนธรรม
เทคโนโลยี (Technological): การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ส่งผลต่อธุรกิจ
สิ่งแวดล้อม (Environmental): ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม
กฎหมาย (Legal): กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายแรงงาน
การใช้ PESTEL Analysis จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถมองเห็นภาพรวมของสภาพแวดล้อมภายนอก และวางแผนในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
3. Financial Metrics: การวัดผลทางการเงิน
Financial Metrics เป็นการใช้ตัวชี้วัดทางการเงินเพื่อประเมินความเป็นไปได้และความสามารถในการทำกำไรของโอกาสทางธุรกิจ ตัวชี้วัดที่นิยมใช้ ได้แก่:
NPV (Net Present Value): การประเมินมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสด เพื่อดูว่าการลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่
IRR (Internal Rate of Return): อัตราผลตอบแทนที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิจากโครงการการลงทุน เท่ากับมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดออกสุทธิ RR ใช้ในการประเมินความน่าสนใจของโครงการลงทุน โดยการเปรียบเทียบ IRR กับอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ยอมรับได้ (Hurdle Rate) หาก IRR ของโครงการสูงกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ยอมรับได้ แสดงว่าโครงการนั้นมีความน่าสนใจและควรลงทุน
Payback Period: ระยะเวลาที่ใช้ในการคืนทุน เพื่อประเมินความเสี่ยงและสภาพคล่องในการลงทุน
การใช้ Financial Metrics จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจในเชิงตัวเลข และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
4. Risk Analysis Matrix: การวิเคราะห์ความเสี่ยง
Risk Analysis Matrix เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ โดยพิจารณาปัจจัย 2 ประการ ได้แก่:
ความน่าจะเป็น (Likelihood): โอกาสที่ความเสี่ยงนั้นจะเกิดขึ้น
ผลกระทบ (Impact): ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากความเสี่ยงนั้นเป็นจริง
โดยการจัดลำดับความเสี่ยงในตารางวิเคราะห์ ผู้ประกอบการสามารถระบุความเสี่ยงที่ต้องให้ความสำคัญและจัดการก่อน รวมถึงพัฒนาแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของโอกาสทางธุรกิจ
การวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจโดยใช้เครื่องมืออย่าง SWOT Analysis, PESTEL Analysis, Financial Metrics, และ Risk Analysis Matrix จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถมองเห็นภาพรวมของโอกาสและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น และสามารถวางแผนการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องมือเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกคนควรใช้ในการประเมินโอกาสเพื่อให้เกิดความมั่นใจในการตัดสินใจและลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน
หากมีข้อคิดเห็นหรือเสนอแนะใดๆ ทักมาคุยกัหรือแอดมาเป็นเพื่อนกันที่ https://www.facebook.com/kmuttentrepreneurship/
หลักสูตรการจัดการการเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรม และความยั่งยืน (#EPM) เป็นหลักสูตรภายใต้การกำกับดูแลของบัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม (#GMI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (#KMUTT)
สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ (02) 470-9799, (02) 470-9795-6, 084-676-5885
LINE : @GMIKMUTT
หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://gmi.kmutt.ac.th/th/study-with-us/epm/
สนใจสมัครได้ที่ https://bit.ly/GMI_Apply
CRAFT LAB เตรียมความพร้อมในการพัฒนานักวิจัยให้เป็นผู้จัดการผลิตภัณฑ์ที่สามารถมีทักษะและความรู้ที่ควรเป็น อย่างมีผลลัพธ์ สนใจทักมาคุยกับได้ที่ Line: @061jlshn หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับท่านที่ต้องการต่อยอดความรู้ระดับ 'ปริญญาโท' ด้านความเป็นผู้ประกอบการนวัตรกรรมสามารถคลิกที่นี่เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
เพิ่มเราเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คเพื่อรับข่าวสารและข้อมูลต่อยอดความเข้าใจ
เรื่องที่น่าสนใจอื่น