3 กรณีศึกษาการใช้คีย์เวิร์ดในการลงรายการสินค้า (ในแพลท์ฟอร์มหรือช่องทางดิจิทัล)
"CRAFT LAB: Make every technology commercialised"
3 กรณีศึกษาการใช้คีย์เวิร์ดในการลงรายการสินค้า (ในแพลท์ฟอร์มหรือช่องทางดิจิทัล)
เรียบเรียงโดย ผศ. ดร. ปารเมศ วรเศยานนท์
บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ไฮไลท์:
การใช้คีย์เวิร์ดในการลงของในแพลทฟอร์มหรือลิสสินค้าเพื่อขาย สำคัญมากเนื่องจากจะช่วยให้การทำการตลาดดิจิทัลสามารถจะเพิ่มการเปลี่ยนจากผู้ที่สนใจเป็นกลุ่มลูกค้าได้
จากกรณีศึกษา ปัญหาที่เห็นได้ชัดได้แก่ (1) การมองเห็นทางออนไลน์ต่ำ (2) ปริมาณการเข้าชมที่ดี แต่ผู้เข้าชมหลายคนไม่ได้ทำการซื้อ (3)ผลิตภัณฑ์ของพวกเขามีคุณภาพสูงแต่ยังไม่ได้รับการมองเห็นที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่มีขนาดใหญ่กว่า
แนวทางการแก้ไขจากกรณีศึกษาได้แก่ (1) วิจัยคีย์เวิร์ดอย่างละเอียดเพื่อค้นหาคำเฉพาะที่ลูกค้าเป้าหมายอาจใช้ในการค้นหา (2) ปรับปรุงรายการสินค้าของพวกเขาให้สอดคล้องกับเจตนาของผู้ใช้มากขึ้น และ (3) ปรับปรุงหน้าผลิตภัณฑ์โดยใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นลักษณะของตลาดเฉพาะนี้ในชื่อ คำอธิบาย และเมตาแท็ก นอกจากนี้พวกเขายังสร้างเนื้อหาบล็อกเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดเหล่านี้เพื่อดึงดูดการเข้าชมเพิ่มเติมและปรับปรุงอันดับในเครื่องมือค้นหา
กรณีศึกษาที่ 1: เพิ่มโอกาสค้นพบสินค้าด้วยคีย์เวิร์ด
ภูมิหลัง
ธุรกิจอีคอมเมิร์ซขนาดเล็กที่เชี่ยวชาญในการขายเครื่องประดับทำมือกำลังประสบปัญหาในการเพิ่มการมองเห็นทางออนไลน์ แม้ว่าจะมีเว็บไซต์ที่ออกแบบมาอย่างดีและสินค้าที่มีคุณภาพสูง แต่ก็ยังไม่ได้รับปริมาณการเข้าชมจากเครื่องมือค้นหาหรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มากพอ
ความท้าทาย
ธุรกิจได้ทำการวิจัยคีย์เวิร์ดอย่างละเอียดเพื่อค้นหาคำเฉพาะที่ลูกค้าเป้าหมายอาจใช้ในการค้นหาเครื่องประดับทำมือ พวกเขาพบว่าคำเช่น "ต่างหูเงินทำมือ," "สร้อยคอหินที่ทำโดยช่างฝีมือ," และ "กำไลทองที่ไม่ซ้ำใคร" เป็นคำที่ได้รับความนิยมแต่ไม่ได้มีการแข่งขันสูงมาก
แนวทางแก้ไข
ธุรกิจได้อัปเดตชื่อผลิตภัณฑ์ คำอธิบาย และเมตาดาต้าด้วยคีย์เวิร์ดเฉพาะเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่เดิมชื่อ "ต่างหูหรูหรา" ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ต่างหูเงินทำมือพร้อมลูกปัดหิน" คำอธิบายยังถูกปรับปรุงเพื่อรวมคีย์เวิร์ดที่ค้นพบไว้ในข้อความอย่างเป็นธรรมชาติ
ผลลัพธ์
ภายในไม่กี่สัปดาห์ ธุรกิจสังเกตเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากในปริมาณการเข้าชมแบบออร์แกนิกไปยังเว็บไซต์และรายชื่อผลิตภัณฑ์ของพวกเขา สินค้าของพวกเขาเริ่มปรากฏในอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาทั้งใน Google และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้การค้นพบสินค้าเพิ่มขึ้น และยอดขายเพิ่มขึ้น
กรณีศึกษาที่ 2: จับคู่ความต้องการด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
ภูมิหลัง
ผู้ค้าปลีกออนไลน์ขนาดกลางที่เชี่ยวชาญในอุปกรณ์กลางแจ้งต้องการปรับปรุงอัตราการแปลงการขายของตน พวกเขาสังเกตว่าแม้ว่าจะได้รับปริมาณการเข้าชมที่ดี แต่ผู้เข้าชมหลายคนไม่ได้ทำการซื้อ ซึ่งบ่งบอกถึงความไม่ตรงกันระหว่างสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหาและสิ่งที่เว็บไซต์นำเสนอ
ความท้าทาย
ผู้ค้าปลีกได้วิเคราะห์คำค้นหาที่นำผู้ใช้มายังเว็บไซต์ของตนและเปรียบเทียบกับคีย์เวิร์ดที่ใช้ในรายการสินค้าของพวกเขา พวกเขาพบว่าผู้เข้าชมหลายคนกำลังค้นหาสินค้าที่เฉพาะเจาะจงเช่น "รองเท้าเดินป่ากันน้ำ" และ "เต็นท์แคมป์ที่มีน้ำหนักเบา" แต่รายการสินค้าของพวกเขากลับใช้คำที่เป็นกลางเกินไป เช่น "รองเท้าเดินป่า" หรือ "เต็นท์แคมป์"
แนวทางแก้ไข
ผู้ค้าปลีกได้ทำการปรับปรุงรายการสินค้าของพวกเขาให้สอดคล้องกับเจตนาของผู้ใช้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น "รองเท้าเดินป่า" ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "รองเท้าเดินป่ากันน้ำสำหรับทุกสภาพพื้นดิน" และ "เต็นท์แคมป์" กลายเป็น "เต็นท์แคมป์น้ำหนักเบาสำหรับ 2 คน เหมาะสำหรับการเดินป่า" คำอธิบายผลิตภัณฑ์ก็ถูกปรับปรุงเพื่อเน้นคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการเฉพาะที่พบในคำค้นหาของผู้ใช้
ผลลัพธ์
การปรับปรุงรายการสินค้าให้สอดคล้องกับเจตนาของผู้ใช้ทำให้อัตราการแปลงการขายเพิ่มขึ้น ลูกค้าพบว่าสินค้าที่ตรงกับคำค้นหาของพวกเขาได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีความพึงพอใจมากขึ้นและยอดขายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผู้ค้าปลีกยังสังเกตเห็นการลดลงในอัตราการทิ้งตะกร้าสินค้า
กรณีศึกษาที่ 3: สร้างความได้เปรียบด้วยกลยุทธ์คีย์เวิร์ด
ภูมิหลัง
บริษัทใหม่ในตลาดสินค้าดูแลผิวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังประสบปัญหาในการแข่งขันกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ผลิตภัณฑ์ของพวกเขามีคุณภาพสูงแต่ยังไม่ได้รับการมองเห็นที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่มีขนาดใหญ่กว่า
ความท้าทาย
บริษัทได้ทำการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเพื่อระบุคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำแต่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าคำเช่น "เซรั่มหน้าออร์แกนิกสำหรับผิวแพ้ง่าย" และ "ครีมต่อต้านริ้วรอยธรรมชาติที่มีวิตามินซี" เป็นคำที่มีการแข่งขันต่ำแต่มีความเกี่ยวข้องสูงกับผลิตภัณฑ์ของพวกเขา
แนวทางแก้ไข
พวกเขาได้ปรับปรุงหน้าผลิตภัณฑ์โดยใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นลักษณะของตลาดเฉพาะนี้ในชื่อ คำอธิบาย และเมตาแท็ก นอกจากนี้พวกเขายังสร้างเนื้อหาบล็อกเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดเหล่านี้เพื่อดึงดูดการเข้าชมเพิ่มเติมและปรับปรุงอันดับในเครื่องมือค้นหา
ผลลัพธ์
ด้วยการมุ่งเน้นที่คีย์เวิร์ดเฉพาะทางนี้ บริษัทสามารถปรับปรุงอันดับการค้นหาให้สูงขึ้นแม้จะเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่มีขนาดใหญ่กว่า ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเริ่มปรากฏในหน้าหนึ่งของผลการค้นหาสำหรับคำที่เฉพาะเจาะจงนี้ ส่งผลให้การเข้าชมแบบออร์แกนิกเพิ่มขึ้น และยอดขายเพิ่มขึ้น กลยุทธ์คีย์เวิร์ดที่มุ่งเน้นนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถหาช่องทางในตลาดที่แออัดได้ และเพิ่มการมองเห็นและยอดขายของแบรนด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
หากมีข้อคิดเห็นหรือเสนอแนะใดๆ ทักมาคุยกัหรือแอดมาเป็นเพื่อนกันที่ https://www.facebook.com/kmuttentrepreneurship/
หลักสูตรการจัดการการเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรม และความยั่งยืน (#EPM) เป็นหลักสูตรภายใต้การกำกับดูแลของบัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม (#GMI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (#KMUTT)
สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ (02) 470-9799, (02) 470-9795-6, 084-676-5885
LINE : @GMIKMUTT
หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://gmi.kmutt.ac.th/th/study-with-us/epm/
สนใจสมัครได้ที่ https://bit.ly/GMI_Apply
CRAFT LAB เตรียมความพร้อมในการพัฒนานักวิจัยให้เป็นผู้จัดการผลิตภัณฑ์ที่สามารถมีทักษะและความรู้ที่ควรเป็น อย่างมีผลลัพธ์ สนใจทักมาคุยกับได้ที่ Line: @061jlshn หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับท่านที่ต้องการต่อยอดความรู้ระดับ 'ปริญญาโท' ด้านความเป็นผู้ประกอบการนวัตรกรรมสามารถคลิกที่นี่เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
เพิ่มเราเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คเพื่อรับข่าวสารและข้อมูลต่อยอดความเข้าใจ
เรื่องที่น่าสนใจอื่น