OCSC x SOC
โครงการทุนฝึกอบรมเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ (Strategy-based)
ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
หน้าหลัก | ข้อมูลโครงการ | ตารางเรียนและเอกสารประกอบ | การนำเสนองานเดี่ยว | การนำเสนองานกลุ่ม | Discussion board | รายงาน | FAQ
หลักการและเหตุผล
เนื่องด้วยวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ ได้มีการประกาศใช้ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ ถึง ๒๕๘๐) ที่เน้นให้เกิดการพัฒนาประเทศไทยตามวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง” โดยมี ๖ ยุทธศาสตร์เพื่อการขับเคลื่อน ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง (๒) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (๓) ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (๔) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม (๕) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๖) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ โดยสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานหลักภายใต้สำนักงานนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการสนับสนุนการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ประเทศเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน อย่างไรก็ดี
การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ทางสังคมและการเมือง ส่งผลให้เกิดความจำเป็นในการพัฒนาบุคลากรที่จะสามารถพัฒนาระบบงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม ตามมาตรา ๑๓ (๙) แห่งพระราชบัญญัติระบบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติให้สำนักงาน ก.พ. มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับทุนเล่าเรียนหลวงและทุนของรัฐบาลตามนโยบายและระเบียบของ ก.พ.ตามมาตรา ๘ (๘) ในการจัดสรรทุนรัฐบาล เพื่อส่งคนไปศึกษาวิชาต่าง เพื่อเตรียมกำลังคนที่มีศักยภาพสูงภาครัฐในอนาคตให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการฝ่าพลเรือน ความสามารถด้านดิจิทัลเป็นทักษะสำคัญของบุคลากรภาครัฐบาลในการเปลี่ยนผ่านความสามารถในการพัฒนาและแข่งขันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย โดยผ่านการดําเนินการโดยสถาบันการศึกษาที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาหลักสูตรและจัดฝึกอบรมโดยเฉพาะด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ยุคดิจิทัลเพื่อให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ราชการ
อ.ก.พ. วิสามัญเกี่ยวกับการการบริหารจัดการกำลังคนคุณภาพของราชการในการประชุม ครั้งที่ ๙/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้มมีติเห็นชอบแนวทางและรายละเอียดการจัดสรร ทุนรัฐบาลสําหรับการเตรียมและพัฒนากําลังคนภาครัฐระดับยุทธศาสตร์ (Strategy-based) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยจัดสรรให้ส่วนราชการละ ๑๕ ทุน ในแต่ละด้าน ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี รวมทั้งสิ้น ๙๐ ทุน
โครงการทุนฝึกอบรมเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ (Strategy-based) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐสําหรับ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ สนับสนุนยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศในการพัฒนาบุคลากรด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะเพื่อพัฒนาความพร้อมในการวางแผน การดำเนินการเปลี่ยนผ่านหน่วยงานของรัฐต่อการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลต่อความมั่นคง ความยั่งยืน และความมั่งคั่งที่ยั่งยืนของประชาชน ชุมชน สังคม และประเทศชาติจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนาประเทศตามวิสัยทัศน์ประเทศไทยต่อไป
วัตถุประสงค์โครงการ
เพื่อเสริมสร้างความรู้ ทักษะ ประสบการณ์และคุณลักษณะในการทำงานให้กับข้าราชการพลเรือนสามัญ ที่ปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
เพื่อเปิดมุมมองและเพิ่มประสบการณ์ให้กับข้าราชการพลเรือนที่ปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศ ตลอดจนมิติการเรียนรู้วิธีหรือแนวทางการปฏิบัติที่ดีของต่างประเทศ (Best Practice)
เพื่อสร้างเครือข่ายการทำงานระหว่างข้าราชการพลเรือนที่ปฏิบัติงานเพี่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐภาคของหน่วยงานสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
เพื่อสามารถนำความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และการสะท้อนคิดมาพัฒนาโครงงานขับเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐภาคของหน่วยงานที่มีหน้าที่สำคัญในการสนับสนุนการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
แนวคิดการออกแบบหลักสูตร
กรอบแนวคิดการออกแบบหลักสูตรสามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วนได้แก่ (๑) กรอบแนวคิดหลักด้านกลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นดิจิทัล (Digital Transformation) และการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการจัดการนวัตกรรม (Creativity and Innovation Management) (๒) กรอบแนวคิดด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์“ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง” และ (๓) รูปแบบและเครื่องมือการพัฒนาสมรรถนะ รวมถึงเครื่องมือติดตามผลการเรียนรู้
๑. กรอบแนวคิดด้านกลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นดิจิทัล (Digital Transformation) และการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการจัดการนวัตกรรม (Creativity and Innovation Management)
กรอบแนวคิดด้านกลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นดิจิทัล (Digital Transformation) เป็นแนวคิดเชิงกลยุทธ์ขององค์กรที่จะนำเครื่องมือ นโยบาย และความสามารถด้านดิจิทัลไปสร้างการเปลี่ยนผ่านขององค์กรไปสู่องค์กรที่การใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐและความความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของประเทศ บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) ได้ทำการวิจัยและพัฒนา ๗-Factor Model เพื่อเป็นกรอบแนวคิดหรือแพลตฟอร์มในการเปลี่ยนผ่านองค์กรโดยเฉพาะภาครัฐสู่ยุคดิจิทัลในระดับยุทธศาสตร์ ประกอบไปด้วย ๗ มิติ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๑.๑. การสร้างการมีส่วนร่วมและการเข้าถึงของประชาชน (Citizen engagement) ด้วยการใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) อาทิ Influencer Marketing, SEM (Search Engine Management), Content Marketing, Digital Branding, Chatbot เป็นต้น ทำให้ภาครัฐสามารถเพิ่มระดับการบริการแก่ประชาชน เข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสื่อสารเพื่อลดผลกระทบปัญหาข่าวปลอม
๑.๒. ผู้นำยุคดิจิทัล (Digital leadership) ผู้นำต้องตระหนักและความเข้าใจในการบริหารยุคดิจิทัล มีทักษะการประเมินอนาคต (Foresight) ซึ่งมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ต้องมีทักษะการบริหารโครงการ (Project Management) และการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) นอกจากนั้นระบบการนำต้องแสดงให้เห็นทิศทางการบริหารยุคดิจิทัล เช่น การมี Digital Transformation Strategy, CIO บทบาทใหม่ตามที่ ครม. อนุมัติตามข้อเสนอของ ก.พ. เป็นต้น
๑.๓. การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน (Process transformation) โดยเริ่มจากการคิดแบบลีน (Lean Process) เพื่อให้เป็นภาครัฐที่คล่องตัว ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น แล้วอาจเริ่มการทำ Document Digitization จากนั้นปรับเปลี่ยนกระบวนการในองค์กรด้วยดิจิทัล (Digitalization)
๑.๔. การคิดเชิงนวัตกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ (New Business Modeling) โมเดลใหม่ในการทำงาน หรือปรับปรุงโมเดลเดิมด้วยดิจิทัล ทั้งนี้ควรต้องใช้เครื่องมือต่อไปนี้ประกอบ อาทิ ๑) Design Thinking, ๒) Business Model Canvas หรือ ๓) New Business Models ของ Don Tapscott ในหนังสือ Digital Economy และ หนังสือ Blockchain Revolution เป็นต้น มาเป็นเครื่องมือกระตุ้นการพัฒนาและการปรับเปลี่ยนความคิด การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการจัดการนวัตกรรม (Creativity and Innovation management) เน้นกระบวนการออกแบบกระบวนการหรือโครงการตามความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งาน เป็นการฝึกสร้างโครงงานที่ตอบโจทย์ชุมชนและประชาชนจากกระบวนการทางความคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) โดยตระหนักว่าการทำนำเสนอหรือ สร้างโครงการใดๆ จะมีผลกระทบและประโยชน์กับผู้ได้รับอย่างแท้จริงอย่างไร โดยเฉพาะการเข้าใจความต้องการของชุมชนและประชาชน และกำหนดความต้องการที่แท้จริงเพื่อสร้างงานที่ตอบสนองต่อความต้องการนั้นๆ ผ่านกระบวนการความคิดเชิงออกแบบอย่างเป็นขั้นตอน ที่นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมของกระบวนการแบบใหม่ๆ ได้ ทั้งนี้รวมไปถึงการนำนวัตกรรมมาเป็นองค์ประกอบเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มหรือสร้างความยั่งยืนต่อการดำเนินการ
๑.๕. ความสามารถทางดิจิทัลขององค์กร (Digital capacity) ประกอบไปด้วย ๒ ประเด็นสำคัญคือ
(๑) Digital Skill Sets เป็นประเด็นสำคัญมากของราชการที่ข้าราชการจะต้องมีทักษะต่างๆ ที่แนะนำโดยสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สอดคล้องกับการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล โดยจากระดับเริ่มต้น (Early) สู่ระดับกำลังพัฒนา (Developing) และในที่สุดสู่ระดับก้าวหน้า (Mature) เช่น Digital Literacy, Digital Governance, Digital Transformation, Cybersecurity และ Digital Culture เป็นต้น และ (๒) Digital Platform: ระบบ IT ของหน่วยงานรวมเทคโนโลยี เช่น Hardware, Software, Application, Big Data, Internet, ๔G/๕G, Optical Fiber เป็นต้น ซึ่งควรต้องมีการวางแผนและเป้าหมายก่อนการติดตั้งระบบต่าง ๆ ดังนั้น องค์กรจะต้องมีการวางพิมพ์เขียวก่อนด้วย Enterprise Architecture (EA)
๑.๖. ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber security) เมื่อรัฐกำลังมุ่งสู่รัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) กำลังย้ายข้อมูลจาก Physic และ Analog ไปสู่รูปแบบดิจิทัลมากขึ้น หมายถึงการเพิ่มความไว้วางใจ (Confidentiality) ข้อมูลที่เป็นส่วนตัว ข้อมูลส่วนหน่วยงาน ที่เรียกว่ามีความเป็นส่วนตัว (Privacy) ของหน่วยงานไปบนระบบกลาง บางครั้งอยู่บนคลาวด์ (Cloud) เพราะฉะนั้นจะต้องสร้างหรือมั่นใจว่าระบบจะมีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์สูงๆ ป้องกันการโจรกรรมข้อมูล หรือการทำลายระบบ อันจะส่งผลให้เกิดการล่ม (Shut-down) ของบริการของรัฐที่สำคัญต่อประชาชนได้ อาทิ ระบบพลังงาน ระบบการเงินการธนาคาร ระบบโทรคมนาคม ระบบสาธารณสุข เป็นต้น
๑.๗. กฎหมายและกฎระเบียบใหม่ด้านดิจิทัล (Digital laws and regulations) กฎหมายและกฎระเบียบ ใหม่ด้านดิจิทัลซึ่งจะมากขึ้น ล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ มีพระราชบัญญัติสำคัญ ๒ ฉบับ คือ พระราชบัญญัติความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ อาทิ พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พระราชบัญญัติอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่จะกำกับดูแลเหตุการณ์ใหม่ๆ ทางดิจิทัล เช่น สังคมไร้เงินสด การจัดการข่าวปลอม (Fake News) เป็นต้น รวมถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ ล่าสุดของโลก เช่น การเก็บภาษีดิจิทัล (Digital Tax) จากบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี Amazon, Apple, Google, Netflix ฯลฯ ซึ่งหน่วยงานราชการจะต้องเตรียมรับให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นโอกาส (Opportunity) หรือภัยคุกคาม (Threat) ก็ตาม
๒. กรอบแนวคิดด้านการพัฒนาองค์กร ปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ
การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (การพัฒนาบริการประชาชน: การพัฒนาระบบงานภาครัฐด้วยเทคโนโลยี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการบริหารเชิงกลยุทธ์และการพัฒนาองค์กร ประกอบไปด้วยกรอบแนวคิดย่อย ๔ ด้าน ดังนี้
๒.๑. การจัดการเชิงกลยุทธ์ ประกอบด้วย การพัฒนาพันธ์กิจ วิสัยทัศน์ ค่านิยม เครื่องมือและ
การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์กร เครื่องมือและการกำหนดวัตถุประสงค์และกลยุทธ์องค์กร การจัดการองค์กรเพื่อตอบสนองกลยุทธ์และวัตถุประสงค์องค์กร และการพัฒนาความได้เปรียบในการแข่งขัน
๒.๒. การพัฒนาองค์กรและการเป็นผู้นำ ประกอบด้วย พฤติกรรมองค์กร วัฒนธรรมองค์กร จริยธรรมและพฤติกรรมองค์กร พฤติกรรมบุคคลและกลุ่มบุคคลในองค์กร การจัดการความหลากหลาย กระบวนการองค์กร การจัดการความเปลี่ยนแปลง การจัดการความขัดแย้ง ภาวะผู้นำ และการพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร
๒.๓. การวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการตัดสินใจองค์กรโดยเน้นกลุ่มผู้วิเคราะห์ ประมวลผล และแสดงผลข้อมูล โดยสร้างความเข้าใจด้านการทำความสะอาดข้อมูล การจัดกลุ่มข้อมูล การวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล (เช่น การวิเคราะห์เชิงพรรณนา การวิเคราะห์ระบุความสัมพันธ์เหตุของปัญหา การพยากรณ์ และการวิเคราะห์เพื่อหาจุดที่ดีที่สุดในกสารดำเนินการ)
๒.๔. การออกแบบกระบวนการใช้บริการหลังจากการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลสำหรับองค์กร เน้นการวิเคราะห์ ออกแบบอละปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินการ ผ่านการสังเคราะห์กระบวนการทำงาน เวลาทำงาน เอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวนบุคคลที่เกี่ยวข้อง และการเชื่อมของระบบกับการดำเนินการในการทำงาน
๓. สมรรถนะและคุณลักษณะพึงประสงค์
การพัฒนาสมรรถนะนั้นเน้นการพัฒนาในมิติด้านความรู้ ทักษะและประสบการณ์ รวมถึงคุณลักษณะตามสัดส่วนชั่วโมงในการพัฒนาดังนี้ ความรู้ (Knowledge) (ร้อยละ ๔๗) ทักษะ (Skills) (ร้อยละ ๓๑) ประสบการณ์ (Experience) (ร้อยละ ๒๑) และคุณลักษณะ (Attribute) (ร้อยละ ๒)
การพัฒนาความรู้นั้นจะเน้นกรอบแนวคิดหลักในด้านกลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นดิจิทัล (Digital Transformation) การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการจัดการนวัตกรรม (Creativity and Innovation Management) และ กรอบแนวคิดด้านการพัฒนาองค์กร ปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ
สำหรับการพัฒนาทักษะนั้นจะเน้นการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์และออกแบบเชิงนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การวิเคราะห์ข้อมูลและแสดงผลข้อมูล และการออกแบบกระบวนการดำเนินการ ประเมินผลแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ การจัดการเปลี่ยนแปลงและความขัดแย้ง และการบูรณาการความคิดเพื่อพัฒนาโครงการ
การพัฒนาคุณลักษณะนั้นเน้นการพัฒนาคุณลักษณะของ ความเป็นผู้นำที่สามารถโน้มน้าวให้เกิดความร่วมมือ (Compelling) การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับกลุ่มคนทั้งภายในและภายนอก (Connected) ความสามารถในการระบุสถานการณ์ปัจจุบันและเครื่องที่ใช้ในการสร้างความเปลี่ยนแปลง (Current) การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis) และความมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง (Committed)
กระทบความคิดเพื่อพัฒนาโครงการเพื่อพัฒนาโครงการหลักและโครงการย่อยการสร้างประสบการจากการศึกษาต้นแบบที่ดี (Best practice) ในประเทศ เพื่อปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
วิธีการพัฒนา
รูปแบบการพัฒนาจะเป็นการบูรณาการความเข้าใจโดยการประยุกต์ในแนวคิดหลักด้านกลยุทธ์ศาสตร์การขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นดิจิทัลและการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการจัดการนวัตกรรมมาประยุกตกับประเด็นยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (การบริการประชาชนและประสิทธิภาพภาครัฐ ประเด็นการพัฒนาระบบบริหารงานภาครัฐ) โดยมีผลลัพธ์เป็นโครงการพัฒนาการทำงานที่สะท้อนความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะที่สำคัญ ภาพรวมการพัฒนาแสดงในรูปประกอบ ๑ การเชื่อมโยงกรอบแนวคิดหลักเพื่อพัฒนาสมรรถนะและการพัฒนาโครงการเพื่อตอบยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
หากแยกตามโมดูลการเรียนรูเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การเรียนรู้ดังที่ปรากฏในตารางที่ ๑ นั้น การออกแบบการเรียนรู้จะประกอบด้วย ๔ โมดูลอันได้แก่ (๑) การปรับและเสริมสร้างความรู้พื้นฐาน (๒) การให้คำปรึกษาสำหรับการนำเสนอข้อเสนอการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรม (๓) การแลกเปลี่ยนความรู้และการนำเสนอข้อเสนอหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรม และ (๔) การติดตามและการประเมินผลโครงการ ในแต่ละโมดูลมีวิธีการพัฒนาบุคลากร ดังนี้
๑. โมดูล ๑ การปรับและเสริมสร้างความรู้พื้นฐาน (Knowledge-based building) ได้แก่ การบรรยายในชั้นเรียน (Lecture) การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) จากประสบการณ์ในการบริหารและกรณีศึกษา (Case-based learning) ตลอดจนการสะท้อนคิด (Reflection) แบบฝึกหัดเดี่ยว (Individual Assignment) อภิปรายกลุ่มย่อย (Small Group Discussion) การให้คำปรึกษา (Consulting) และ รูปแบบการนำประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละบุคคลให้คำปรึกษาระหว่างกันเพื่อแก้ปัญหา (Peer Consulting/ self-help group) ซึ่งจะทำการศึกษาในระยะเวลา ๒๑ วัน ระหว่างวันที่ ๒ มีนาคม ถึง ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๕
๒. โมดูล ๒ การให้คำปรึกษาสำหรับการนำเสนอข้อเสนอการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรม ได้แก่ การร่วมกับทปรึกษาพัฒนาโครงงานกลุ่มและโครงงานเดี่ยวเพื่อการพัฒนาพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ แนวทางในการดำเนินการจะอิงจากการดำเนินวิจัยปฏิบัติการที่เน้นการเข้าไปศึกษาปัญหาในบริบทที่ทำงานในหน่วยงาน ออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา และการทดลองนำไปประยุกต์ใช้ (การทดลองประยุกต์ใช้จะกลายเป็นโครงการในการศึกษาทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยวต่อไป ทั้งนี้ ในกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการจะมีการใช้เครื่องมือเชิงคุณภาพและปริมาณเพื่อเก็บข้อมูลก่อนหาแนวทางการแก้ไขปัญหา นอกเหนือจากนั้นผู้เรียนจะได้เดินทางไปศึกษางานในหน่วยงานของรัฐบาลและเอกชนเพื่อศึกษาแลกเปลี่ยนกระบวนการดำเนินการ เงื่อนไขการดำเนินการ แลกเปลี่ยนกรณีตัวอย่าง รวมไปถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน การศึกษาในโมดูลที่ ๒ นั้นจะทำการศึกษาในระยะเวลาศึกษารวม ๖ วัน ระหว่างวันที่ ๒๕ เมษายน ถึงวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
๓. โมดูล ๓ การแลกเปลี่ยนความรู้และการนำเสนอข้อเสนอหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรม ได้แก่ การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small group discussion) การประชุมปฏิบัติการ (Workshop) การแบ่งปันประสบการณ์ (Case sharing) กิจกรรมพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา (Problem solving activity) การให้คำปรึกษาทั้งในชั้นเรียนและทางไกล (Consulting/online consulting) บรรยายคุณลักษณะด้านความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลง (Change agent attribute) การนำเสนอโครงการ (Project presentation) กลุ่มและโครงการเดี่ยว กิจกรรมในโมดูลนี้ดำเนินการเป็นระยะเวลา ๑ วัน ในวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
๔. โมดูล ๔ การติดตามและการประเมินผลโครงการ การดำเนินการนี้จะเป็นการเข้าหารือเรื่องของความคืบหน้าของโครงการกับหัวหน้างานเพื่อทราบถึงเงื่อนไขสนับสนุนและข้อจำกัดการดำเนินการ รวมถึงการให้คำปรึกษากับผู้เรียนเป็นจำนวน ๒ วัน ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม และวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๕
วิธีจัดการเรียนรู้และพัฒนา
เกณฑ์ในการผ่านหลักสูตรและการได้รับประกาศนียบัตร จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีนั้น ผู้รับทุนต้องผ่านเกณฑ์ทั้งหมด ดังนี้
๑. การเข้าเรียนต้องมีเวลาเรียนไม่ต่ำกว่า ร้อยละ ๑๐๐ ของระยะเวลาเรียนทั้งหมด
๒. ผู้รับทุนจะต้องได้รับคะแนนรวมจากการทำกิจกรรมทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ โดยมีรายละเอียดดังนี้
กิจกรรมกลุ่ม (Best Practice Report) ร้อยละ ๕๐
กิจกรรมเดี่ยว (Area-based Development Report) ร้อยละ ๓๐
กิจกรรมในห้องเรียน ร้อยละ ๒๐
๓. ต้องมีส่วนร่วมการนำเสนอข้อเสนอในการพัฒนาการทำงานเพื่อตอบยุทธศาสตร์อย่างน้อย ๑ หัวเรื่องสำหรับโครงการกลุ่ม และนำเสนอโครงการเดี่ยวอย่างน้อย ๑ หัวเรื่อง
คุณสมบัติผู้เข้าอบรม
เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญของสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จำนวน ๑๕ คน
ช่วงเวลาและระยะเวลาอบรม
ช่วงเวลาจัดอบรม ระหว่างเดือนมีนาคม ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๕
ระยะเวลาอบรม ตั้งแต่โมดูล ๑ – ๔ ใช้ระยะเวลารวม ๓๐ วัน (ดูตารางเรียนที่นี่)
โมดูล ๑ การปรับและเสริมสร้างความรู้พื้นฐาน (Knowledge-based building)
โมดูล ๒ การให้คำปรึกษาสำหรับการนำเสนอข้อเสนอการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรม
โมดูล ๓ การแลกเปลี่ยนความรู้และการนำเสนอข้อเสนอหรือพัฒนางานเชิงนวัตกรรมและ
โมดูล ๔ การติดตามและการประเมินผลโครงการ
เกณฑ์การประเมินผล
๑. คะแนนร้อยละ ๗๐ มาจากคะแนนการฝึกปฏิบัติงานเดี่ยว (ร้อยละ ๔๐) และงานกลุ่ม (ร้อยละ ๓๐)
งานเดี่ยว รูปแบบ Poster และ Report เกณฑ์การพิจารณา ความสมบูรณ์และถูกต้องของเนื้อหา การนำเสนอเข้าใจง่าย เวลาส่งงานตรงต่อเวลา
งานกลุ่ม (๑๕ คน) รูปแบบ Slide และ Report เกณฑ์การพิจารณา ความสมบูรณ์และถูกต้องของเนื้อหา การนำเสนอเข้าใจง่าย เวลาส่งงานตรงต่อเวลา
๒. คะแนนร้อยละ ๓๐ มาจากเวลาการเข้าเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ของชั่วโมงการสอน
ผู้ประสานงานโครงการ
ผศ. ดร.ปารเมศ วรเศยานนท์, ผู้จัดการโครงการ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
โทร: +66 0999-191-598
e-mail: parameth.vor@kmutt.ac.th
คณะทำงาน
ผศ. ดร.วรพจน์ อังกสิทธิ์, คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ผศ.ดร.ปฏิภาณ แซ่หลิ่ม, รองคณบดีฝ่ายแผนและประกันคุณภาพ, บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ดร.อานนท์ ทับเที่ยง, ประธานสาขาการจัดการธุรกิจดิจิทัล, บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ดร.วรัญญา ติโลกะวิชัย, อาจารย์, บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี